Friday, November 22Modern Manufacturing
×

วิเคราะห์สถานการณ์ตลาดคาร์บอนไทย TGO ร่วม KBank

ดร. ณัฐริกา วายุภาพ นิติพน รองผู้อํานวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก รักษาการผู้อํานวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก กล่าวว่า กลไกตลาดคาร์บอนมีบทบาทสำคัญในการจัดการกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก โดยเน้นที่การจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมและมนุษย์ กลไกนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อกระตุ้นให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับโครงการ และส่งเสริมให้ผู้ลงทุนพัฒนาโครงการลดก๊าซเรือนกระจกให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่าต่อการลงทุน

กลไกตลาดคาร์บอนในประเทศไทยได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการจัดตั้งระบบการซื้อขายสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading System หรือ ETS) และการใช้ภาษีคาร์บอน ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการควบคุมและจำกัดการปล่อยก๊าซ โดยกำหนดจำนวนสิทธิ์การปล่อยก๊าซและราคาที่ต้องจ่ายเมื่อเกินกว่าที่กำหนด นอกจากนี้ยังมีระบบคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) ซึ่งหมายถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการยืนยันและสามารถนำมาใช้ชดเชยการปล่อยก๊าซได้

ในประเทศไทย มีระบบ T-VER (Thailand Voluntary Emission Reduction) ที่พัฒนาในปี 2014 และต่อมาเป็น T-VER Premium ในปี 2022 ซึ่งมีการรับรองโดยรัฐบาล ระบบนี้ถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นให้เกิดการลดก๊าซเรือนกระจกและสนับสนุนการพัฒนาธุรกิจและบริการใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคาร์บอน เช่น การประกันภัยคาร์บอนเครดิต, การจัดอันดับคาร์บอนเครดิต, การใช้โทเค็นเครดิต และการวิจัยตลาดที่มุ่งเน้นการลดคาร์บอน

ตลาดคาร์บอนในประเทศไทยแสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2016 โดยมีมูลค่าการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก การคาดการณ์การเติบโตของตลาดคาร์บอนในอนาคตแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่ดีและมีโอกาสในการขยายตลาดเพิ่มเติม ปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาตลาดคาร์บอนแบ่งเป็นปัจจัยภายนอกและภายใน สำหรับปัจจัยภายนอก เช่น การบังคับใช้ข้อตกลงปารีส, การกำหนดกฎระเบียบในการประชุม COP และการตกลงของรัฐบาลในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่วนปัจจัยภายใน เช่น การพัฒนา T-VER ในปี 2014, การรับรองโปรแกรมการชดเชยการปล่อยก๊าซของประเทศไทย, การกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซของประเทศไทย และการเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG (Environmental, Social and Governance)

แนวโน้มในอนาคตของตลาดคาร์บอนในประเทศไทยแสดงถึงการเชื่อมโยงกับเครื่องมือการกำหนดราคาคาร์บอนอื่น ๆ การขยายธุรกิจและบริการใหม่ที่เกี่ยวข้องกับคาร์บอน เช่น การจัดอันดับและการวิจัยข้อมูลตลาดที่ช่วยสนับสนุนการลดคาร์บอน การเชื่อมโยงตลาดคาร์บอนในประเทศไทยกับระบบตลาดคาร์บอนระดับนานาชาติ เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและการลงทุน การเปลี่ยนแปลงจากภายนอก เช่น ข้อตกลงระหว่างประเทศอย่างข้อตกลงปารีส และการประชุม COP ซึ่งมีผลต่อการพัฒนาตลาดคาร์บอนและการกำหนดนโยบายในแต่ละประเทศ การเปลี่ยนแปลงนโยบายภายในประเทศ เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยและการกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกในระยะยาว

นายพิพิธ เอนกนิธิ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่าในประเทศไทยปริมาณการซื้อขายคาร์บอนเครดิตถือว่ายังอยู่ในระดับต่ำ คิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.77% ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไทยทั้งหมด อุปสรรคสําคัญอย่างหนึ่งก็คือต้นทุนในการดําเนินการ ทั้งต้นทุนค่าประเมินและรับรองคาร์บอนเครดิตส่งผลต่อการเติบโตของตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มผู้พัฒนา โครงการรายเล็กที่ขาดแคลนเงินทุนโดยผลการสํารวจสถานการณ์ตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจของไทยภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ ซึ่งจัดทําโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า คาร์บอนเครดิตที่มีการซื้อขายมีปริมาณไม่เพียงพอต่อความต้องการลดก๊าซเรือนกระจก โดยผู้พัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิตมีแผนจะนําคาร์บอนเครดิตประเภทพลังงานทดแทนออกขายในตลาด ขณะเดียวกันคาร์บอนเครดิตประเภทป่าไม้ที่มีราคาสูงจะมีออกขายในตลาดน้อย

การปรับตัวของภาคเอกชนกับ T-VER ในบริบทของการลดการปล่อยคาร์บอน การปรับตัวของภาคเอกชนเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องให้ความสนใจ กลยุทธ์ “Carrot and Stick” หรือการใช้แรงจูงใจและการลงโทษเป็นเครื่องมือหลักในการกระตุ้นให้บริษัทต่าง ๆ ลดการปล่อยคาร์บอนอย่างจริงจัง การให้แรงจูงใจผ่านการให้เครดิตคาร์บอนและการลงโทษด้วยการเรียกเก็บภาษีคาร์บอนเป็นวิธีที่สามารถผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตลาดคาร์บอนทั่วโลกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ ตลาดภาคบังคับ (Compliance Market) และตลาดภาคสมัครใจ (Voluntary Market) แต่ละประเทศอาจมีทั้งสองตลาดพร้อมกัน โดยตลาดภาคบังคับจะมีการกำหนดข้อบังคับให้บริษัทต้องลดการปล่อยคาร์บอนตามเกณฑ์ที่กำหนด ขณะที่ตลาดภาคสมัครใจให้ความยืดหยุ่นมากกว่าในการเลือกที่จะลดการปล่อยคาร์บอนตามที่เห็นสมควร แผนที่ที่นำเสนอโดย Berkeley Carbon Trading Project (ภาพอยู่ในส่วนของอ้างอิง*) แสดงให้เห็นถึงการกระจายตัวของตลาดคาร์บอนทั่วโลก ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการศึกษาและวางแผน

แม้ว่าจะมีประเด็นเร่งด่วนหลายประการที่องค์กรต้องให้ความสำคัญในปีหน้า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังคงเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดในสายตาขององค์กร องค์กรต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากถึง 36% ซึ่งสูงกว่าประเด็นอื่น ๆ เช่น ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ปัญหาซัพพลายเชน และการแข่งขันเพื่อหาบุคลากร การขาดแคลนทรัพยากรและต้นทุนของทรัพยากรเป็นประเด็นอันดับหนึ่งที่มีผลกระทบต่อบริษัท รองลงมา คือ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริโภคและความพึงพอใจของลูกค้า การกำหนดกฎระเบียบเกี่ยวกับการปล่อยคาร์บอน ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบและการเมือง และแรงกดดันจากผู้ถือหุ้น

ขอขอบคุณข้อมูลประกอบการแถลงจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO), เครือข่ายคาร์บอนนิวทรัลประเทศไทย (TCNN), ธนาคารกสิกรไทย (KBank), และศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) ที่เผยแพร่ข้อมูลอันเป็นประโยชน์แก่สาธารณะ ข้อมูลประกอบคำกล่าวของวิทยากรทั้งสองท่านมาจากสไลด์นำเสนอภายในงาน

อ้างอิง* : เอกสารประกอบการแถลงข่าวจากเฟซบุ๊กไลฟ์วันที่ 23/07/2024 เฟซบุ๊กเพจ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO)

อ้างอิง** : The 2024 Thailand’s Voluntary Carbon Market Updates (tgo.or.th)

READ MORE

Notice: Undefined index: popup_cookie_abzql in /home/mmthaixaulinbx/webapps/mmthailand/wp-content/plugins/cardoza-facebook-like-box/cardoza_facebook_like_box.php on line 924