รัสเซียหยุดส่งก๊าซให้ยุโรป ผลกระทบจากการคว่ำบาตร !

รัสเซียได้ทำการหยุดการส่งก๊าซผ่านท่อ Nord Stream 1 ไปยังสหภาพยุโรป (EU) จากการตรวจพบการรั่วไหลของน้ำมัน และจะทำการปิดท่อส่งอย่างไม่มีกำหนดเพื่อทำการซ่อมแซม

Gazprom บริษัทด้านพลังงานข้ามชาติในประเทศรัสเซียได้มีการตรวจพบน้ำมันรั่วไหลบนขั้วต่อสายเคเบิลภายนอกของระบบควบคุม และจำเป็นต้องใช้มาตรการที่เหมาะสมเพื่อป้องกันและแก้ไขการรั่วไหล ทำให้ปัจจุบันการส่งก๊าซของท่อ Nord Stream 1 จากรัสเซียไปยังเยอรมนีถูกหยุดลงโดยสมบูรณ์จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง

• ยูเครนเสียกำลังการผลิตเหล็ก ผลกระทบจากภาวะสงคราม
• สงครามรัสเซีย-ยูเครนส่งผลต่อเนื่อง กระทบอุตสาหกรรมเยอรมนี

การหยุดส่งก๊าซที่ส่งผลกระทบวงกว้างต่อชาวยุโรป

ผลกระทบจากการหยุดส่งก๊าซจากรัสเซียครั้งนี้ทำให้ประเทศในสหภาพยุโรปเกิดความกังวลจากปัญหาการขาดแคลนพลังงานในช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อประชาชนที่ไม่สามารถใช้พลังงานมาสร้างความร้อนได้

สหภาพยุโรปได้มองว่าการปิดท่อส่งพลังงานครั้งนี้เป็นการที่รัสเซียพยายามเข้าควบคุมตลาดพลังงานโลกและใช้ก๊าซที่ส่งออกเป็นเครื่องมือในการต่อรองกับสหภาพยุโรปเพื่อยกเลิกการถูกคว่ำบาตรจากหลาย ๆ ประเทศ ซึ่งทางรัสเซียก็ได้กล่าวปฏิเสธเรื่องเหล่านี้และระบุว่าการคว่ำบาตรเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการซ่อมแซมท่อส่งก๊าซ Nord Stream 1

EU เปลี่ยนผู้นำเข้าพลังงาน หันเข้าหาพลังงานหมุนเวียน

ทางสหภาพยุโรปเองก็ได้มีการคาดการณ์และเริ่มการลดการนำเข้าพลังงานจากรัสเซียมาในระยะหนึ่งแล้ว ปัจจุบันสหภาพยุโรปได้ยกเลิกการนำเข้าถ่านหินจากรัสเซียโดยสมบูรณ์และหันมาหาผู้ส่งออกพลังงานที่มีความแน่นอนกว่าอย่างสหรัฐอเมริกา นอร์เวย์ อาเซอร์ไบจาน และแอลจีเรีย ซึ่งประเทศที่เป็นผู้ส่งออกพลังงานให้สหภาพยุโรปมากที่สุดในปัจจุบันก็ได้กลายมาเป็นประเทศนอร์เวย์แล้วนั่นเอง

นอกจากนี้สหภาพยุโรปยังมีการลงทุนในด้านพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลนับตั้งแต่การเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครนขึ้น ซึ่งสหภาพยุโรปก็มองว่าการลงทุนในครั้งนี้จะเป็นหลักประกันในด้านพลังงานให้กับหลาย ๆ ประเทศในอนาคต

สถานการณ์ระหว่างประเทศรัสเซียและสหภาพยุโรปยังคงตึงเครียดและมีการโต้ตอบกันเกิดขึ้นตลอดเวลา ซึ่งผลกระทบในครั้งนี้ก็ได้ส่งผลวงกว้างไปทั่วโลกอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ได้แต่หวังว่าความขัดแย้งในครั้งนี้จะสามารถคลี่คลายได้ในเร็ววัน

ที่มาข่าว : https://ec.europa.eu/commission/presscorner/detail/en/speech_22_5389