การมาถึงของยุคดิจิทัล รวมถึง 5G, AI และ Cloud ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของการดำเนินธุรกิจ ทำให้ทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจต้องปรับตัว เพื่อก้าวไปข้างหน้าในยุคดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น
ในกลุ่มองค์กรขนาดใหญ่ มีแนวโน้มการใช้งานคลาวด์คอมพิวติ้งที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ความต้องการใช้เครือข่ายที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น อัตราความเร็วการถ่ายโอนข้อมูลที่สูงขึ้น ความเสถียรภาพของเครือข่ายที่ดีขึ้นและมีความปลอดภัยของเครือข่ายที่สูงขึ้น
นายคลอดิโอ ดูการี ผู้อำนวยการฝ่ายขาย DWDM โกลบอล โซลูชันส์ หัวเว่ยกล่าวถึงเทรนด์เทคโนโลยีสำหรับองค์กรในทศวรรษที่กำลังจะมาถึงไว้ว่า ระบบคลาวด์กำลังจะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรชั้นนำทั่วโลก มีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2025 บริษัทและองค์กรประมาณ 80% จะเชื่อมต่อกับระบบคลาวด์ และประมาณ 85% ของบริการต่าง ๆ จะเกิดขึ้นบนระบบคลาวด์ ซึ่งแน่นอนว่าการเชื่อมต่อที่มีการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างองค์กรหลายครั้งเช่นนี้ จะต้องอาศัยโครงข่ายที่มีประสิทธิภาพ ด้วยแบนด์วิดท์ที่สูง ค่าความหน่วง (Latency) ต่ำ และความปลอดภัยที่ดีเยี่ยม จึงเป็นที่มาของการพัฒนาระบบ OTN Premium Private Line โดยหัวเว่ย ประเทศไทย ได้ร่วมมือกับ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT เปิดตัวการให้บริการดังกล่าวในประเทศไทยเป็นรายแรก
Premium Private Line พรีเมี่ยมอย่างไร
ธุรกิจโทรคมนาคมด้าน Private Line กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยนายคลอดิโอได้อ้างอิงข้อมูลจาก Ovum1 ว่า ตลาด Private Line ซึ่งมีอัตราเติบโตเฉลี่ยสูงถึงปีละ 10.7% จะมีมูลค่าถึง 72,000 ล้านดอลลาร์ ภายในปี 2020 บวกกับเทรนด์ตลาด Private Line ในประเทศไทย ตามที่ ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาดและบริการ บริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT ได้กล่าวไว้ว่า ทิศทางของธุรกิจในยุคดิจิทัลที่กำลังขับเคลื่อนไปข้างหน้า จะทำให้องค์กรต่าง ๆ เชื่อมต่อกันอย่างทั่วถึงแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นระหว่างองค์กร ทั้งรัฐและเอกชนเอง จนไปถึงการเชื่อมต่อกับคลาวด์เซอร์วิสและดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งจำเป็นจะต้องมีโครงข่ายที่มีประสิทธิภาพมากพอ และพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม Private Line แบบเก่าอาจจะยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับ Premium Private Line ไม่ว่าจะเป็นความเสถียรที่มากกว่าและความปลอดภัยที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งสองคุณสมบัตินี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเน็ตเวิร์คในองค์กรอย่างองค์กรรัฐหรือสถาบันการเงิน รวมไปถึงความต้องการขององค์กรที่กำลังปรับตัวให้กลายเป็นองค์กรแห่งยุดดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นด้วยการย้ายฐานข้อมูลไปอยู่บนคลาวด์ จึงทำให้ต้องการเครือข่ายที่มีค่าความหน่วงที่ต่ำ ซึ่ง Premium Private Line ตัวใหม่นี้สามารถตอบโจทย์ได้ดีกว่า
ผสานนวัตกรรม Data Analytics และ AI สู่เครือข่ายอัจฉริยะที่ทำได้มากกว่า
จากการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาของหัวเว่ย OTN Premium Private Line จะกลายเป็นโซลูชันแห่งอนาคตสำหรับองค์กร โดย นายวรกาน ลิขิตเดชาศักดิ์ รองหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีเครือข่ายโทรคมนาคม บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้อธิบายเพิ่มเติมถึง Premium Private Line ว่าเป็นเครือข่ายที่มอบประสบการณ์ที่ดีที่สุด หรือ Ultimate Experience ให้แก่ลูกค้า ผ่านคุณสมบัติที่ตอบโจทย์การใช้งานในยุคดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นทั้ง 5 ข้อ ได้แก่
- Physical Isolation ด้วยสายเคเบิลที่แยกกันอย่างชัดเจน เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานในแบบที่ผู้ใช้จะรู้สึกถึงความเป็นส่วนตัว ราวกับว่ากำลังใช้เน็ตเวิร์คของตัวเองเท่านั้น และรวมไปถึงการการันตีแบนด์วิดท์
- Latency Assurance ก่อนหน้านี้ การรับประกันค่าความหน่วงไม่ได้ถูกพูดถึงหรือให้ความสำคัญมากนัก แต่ด้วย OTN Premium Private Line จะทำให้สามารถการันตีค่า Latency ให้ต่ำกว่าที่เคย
- High Availability ความพร้อมใช้งานที่มากกว่าแบบ Premium จะทำให้สามารถใช้งานได้มากถึง 99.99%
- Service Agility ความท้าทายของสถาบันการเงินที่จะมีความหนาแน่นของการใช้งานไม่เท่ากันในแต่ละช่วงเวลา ทำให้อาจมีความต้องการในการปรับแบนด์วิดท์ ซึ่งหากเทียบกับ Private Line แบบเก่าจะสามารถ
ทำได้ยากและใช้เวลานาน ตัว OTN Premium Private Line นี้จะมีการใช้ NCE หรือ Network Could Engine ผสานกับการประมวลผลจาก AI ทำให้สามารถปรับค่าแบนด์วิดท์ตามความต้องการของลูกค้าได้ง่ายและรวดเร็วขึ้นภายในหลักนาที
-
All Online ภาพรวมของเครือข่ายสามารถมองเห็นได้ง่ายขึ้น หากมีการขัดข้องที่สายเคเบิลที่ใด ตัว NCE จะทำงานร่วมกับ AI ในการหาจุดบกพร่อง และประมวลผลหาช่องทางอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงได้อย่างรวดเร็ว
ด้วยโซลูชันจากหัวเว่ยที่ผ่านการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การร่วมมือกับ CAT ในครั้งนี้จะเป็นการเพิ่มฟีเจอร์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าองค์กรและหน่วยงานรัฐบาล “จากการร่วมมือกับหัวเว่ยซึ่งมีการทำวิจัยด้านข้อมูลต่างๆ และพัฒนาโซลูชันที่มีความพร้อมในแง่ของความเสถียร, การบำรุงรักษา, และการบริการหลังการขาย
ทำให้เราสามารถมอบฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่สอดรับกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าองค์กรได้” ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กล่าวเพิ่มเติมถึงศักยภาพที่เพิ่มขึ้นจากการร่วมมือกับหัวเว่ยในครั้งนี้ และเป็นการตอกย้ำถึงวิสัยทัศน์ที่พร้อมพัฒนาไปสู่ยุคดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น
การร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นอีกแรงผลักให้ประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าให้ทัดเทียมนานาชาติ เตรียมความพร้อมให้องค์กรในประเทศทั้งภาครัฐและธุรกิจในการเข้าถึงเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพ อันจะนำไปสู่การให้บริการผู้บริโภคและประชาชนได้ดียิ่งขึ้นผ่านการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ เสถียรภาพ และความยืดหยุ่นบนโครงข่าย OTN Premium Private Line