บีโอไอ แนะ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ใช้โอกาส เงินบาทแข็งค่าใช้สิทธิประโยชน์ปรับเปลี่ยนเครื่องจักร ยกระดับเทคโนโลยี เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพื่อรับมือการแข่งขันในอนาคต
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ในภาวะที่เงินบาท แข็งค่าขึ้น บีโอไอมองว่า เป็นโอกาสดีสำหรับผู้ประกอบการ ในการลงทุนซื้อเครื่องจักรใหม่ เพื่อขยายกำลังการผลิต หรือเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งจะช่วยยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการ เพื่อรับมือกับการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นในอนาคต นับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าจากต้นทุนที่ต่ำลงเพราะเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
สำหรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ประกอบด้วย 5 มาตรการย่อย ได้แก่ มาตรการเพื่อการประหยัดพลังงาน มาตรการเพื่อการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต มาตรการเพื่อการวิจัยพัฒนาและออกแบบทางวิศวกรรม มาตรการเพื่อการยกระดับอุตสาหกรรมเกษตรไปสู่มาตรฐานสากล และการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต
ทั้งนี้ผู้ยื่นขอจะได้รับสิทธิประโยชน์ ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี ในสัดส่วนร้อยละ 50 ของเงินลงทุนที่ใช้ในการปรับปรุง และหากเป็นผู้ประกอบการ SMEs ได้กำหนดวงเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 500,000 บาท จากปกติที่กำหนด 1 ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและเงินทุนหมุนเวียน) ตัวอย่าง การลงทุนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เช่น การติดตั้งระบบขนย้ายสินค้าอัตโนมัติภายในคลังสินค้า การติดตั้งหุ่นยนต์ทำความสะอาดเตาเผา การติดตั้งชุดป้อนวัตถุดิบอัตโนมัติ การติดตั้งเครื่องเอ็กซ์เรย์ที่สายการผลิต การติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองในสถานประกอบการ เป็นต้น
ทั้งนี้ คุณสมบัติของผู้ประกอบการ SMEs ที่บีโอไอกำหนด คือต้องมีสินทรัพย์ถาวรสุทธิหรือขนาดลงทุนไม่เกิน 200 ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและเงินทุนหมุนเวียน) ต้องมีบุคคลสัญชาติไทยถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 ของทุนจดทะเบียน โดยผู้สนใจสามารถยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตได้จนถึงเดือนธันวาคม 2563