BCP เผย ผลประกอบการ ไตรมาส 2 ปี 62 กำไรสุทธิ 528 ล้านบาท ลดลง 46% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากค่าการกลั่นลดลง
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP)เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/62 มีกำไรสุทธิ 528 ล้านบาท ลดลง 46% จากระดับ 985 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 48,326 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% และมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 2,189 ล้านบาท ลดลง 34% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ด้านธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน มี EBITDA จำนวน 650 ล้านบาท ลดลง 66% จากงวดปีก่อน มีค่าการกลั่นพื้นฐานอยู่ที่ 4.95 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ลดลงจากระดับ 8.81 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลในงวดปีก่อน และสามารถใช้กำลังการผลิตได้อย่างปกติต่อเนื่อง โดยอัตราการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 112,670 บาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็น 94% ของกำลังการผลิตรวมของโรงกลั่น มีค่าการกลั่นรวม 4.53 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ทั้งนี้ ในไตรมาสนี้มี Inventory Loss 107 ล้านบาท (รวมค่าเผื่อการลดมูลค่าสินค้าคงเหลือ LCM 15 ล้านบาท) เป็นผลจากความผันผวนของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกระหว่างไตรมาส
ด้านกลุ่มธุรกิจการตลาด มี EBITDA จำนวน 630 ล้านบาท มีปริมาณการจำหน่ายรวม 1,543 ล้านลิตร โดยผลการดำเนินงานดีขึ้นตามค่าการตลาดที่ปรับเพิ่มขึ้นและปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นจากการขยายฐานลูกค้า รวมทั้งการเปิดจำหน่ายน้ำมันดีเซล B20 พร้อมขยายการจำหน่ายในสถานีบริการให้ครอบคลุมทุกภูมิภาค กว่า 400 แห่งและขึ้นเป็นผู้นำด้าน B20 ช่วยกระตุ้นการใช้น้ำมันดีเซล B20 ให้มากขึ้น ทั้งยังช่วยเอื้อประโยชน์ต่อเกษตรกรผู้ปลูกปาล์ม
ทั้งนี้ บริษัทยังคงรักษาส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 2 ที่แข็งแกร่งในธุรกิจได้ต่อเนื่อง โดยมีส่วนแบ่งการตลาดสะสมเดือนมกราคม – มิถุนายน อยู่ที่ 15.8% โดยในเดือนมิถุนายนมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 16% จากการขยายจำนวนสถานีบริการมาตรฐานบนพื้นที่ที่มีศักยภาพ และมีการรักษามาตรฐานการบริการ ในรูปแบบ Greenovative Experience โดยสถานีบริการ ณ สิ้นไตรมาส 2 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,185 สาขา
ในส่วนของธุรกิจ Non-Oil ทั้งร้านสะดวกซื้อ SPAR และร้านกาแฟอินทนิล ภายใต้การดูแลของบริษัท บางจาก รีเทล จำกัด ยังคงมีการพัฒนาการบริหารจัดการให้สอดคล้องกับไลฟ์ สไตล์ของคนรุ่นใหม่ มุ่งเน้นความเป็น Eco Brand โดยยกระดับร้านกาแฟอินทนิลที่มีการใช้ไบโอพลาสติกมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในประเทศไทย พร้อมขยายสาขาให้สามารถรองรับและเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น โดย ณ สิ้นไตรมาส 2 มีจำนวนร้าน SPAR 46 สาขา และร้านกาแฟอินทนิล 541 สาขา
กลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้าภายใต้การดำเนินงานของบมจ.บีซีพีจี (BCPG) มี EBITDA จำนวน 721 ล้านบาท ส่วนธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพภายใต้การดำเนินงานของบมจ.บีบีจีไอ (BBGI) มี EBITDA รวม 136 ล้านบาท ในส่วนของธุรกิจผลิตไบโอดีเซล มีปริมาณการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ B100 เพิ่มขึ้น จากนโยบายภาครัฐที่ส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซล B20 แต่กำไรขั้นต้นยังคงได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่สูงขึ้นและราคาขายกลีเซอรีนปรับตัวลดลงตามปริมาณกลีเซอรีนที่ออกสู่ตลาดมากขึ้น โดยธุรกิจผลิตและจำหน่ายไบโอดีเซลมีรายได้ 1,453 ล้านบาท มีปริมาณการผลิต B100 ในไตรมาส 2 ที่ 74.11 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรขั้นต้น 59 ล้านบาท
ส่วนธุรกิจผลิตเอทานอล มีปริมาณการผลิตและจำหน่ายเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการขยายกำลังการผลิตของโรงงานผลิตเอทานอลของบมจ.เคเอสแอล กรีน อินโนเวชั่น เป็น 300,000 ลิตรต่อวัน และบริษัท บางจากไบโอเอทานอล (ฉะเชิงเทรา) จำกัด มีการปรับปรุงประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต ส่งผลให้กำไรขั้นต้นปรับเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าราคาขายเฉลี่ยเอทานอลจะปรับตัวลดลงจากปริมาณสต็อกเอทานอลของประเทศที่อยู่ในระดับสูง แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าปริมาณการผลิตและจำหน่ายเอทานอลลดลง เนื่องจากโรงงานมีการปิดซ่อมบำรุงตามแผน โดยธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอลมีรายได้ 1,002 ล้านบาท มีปริมาณการผลิตรวมของผลิตภัณฑ์เอทานอล อยู่ที่ 43.69 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีการปรับปรุงประสิทธิภาพใน
กระบวนการผลิต
กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติมี EBITDA จำนวน 145 ล้านบาท มีผลการดำเนินงานปรับเพิ่มขึ้น จากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม OKEA เพิ่มขึ้น โดยส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากกำลังการผลิตของแหล่ง Draugen Field เพิ่มขึ้น 7%เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลให้มีการจำหน่ายน้ำมันดิบจากแหล่ง Draugen Field จำนวน 2 Cargoes เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนซึ่งมีการจำหน่าย 1 Cargo
อย่างไรก็ตามยังคงมีการตั้งด้อยค่า Technical Goodwill ของแหล่ง Gjoa Field และในไตรมาสนี้มีการบันทึกกำไรจากการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนเงินลงทุน 94 ล้านบาท จากการที่ OKEA มีการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) ซึ่งบริษัท BCPR ได้ซื้อหุ้นสามัญเพิ่มภายใต้เงื่อนไขการลงทุนตามข้อตกลงการลงทุนเริ่มแรกใน OKEA รวมถึงได้จองและซื้อหุ้น IPO ดังกล่าว โดย IPO ครั้งนี้มีการใช้ Greenshoe Option ซึ่งสิ้นสุดเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2562 ทำให้ ณ ปัจจุบัน BCPR ถือหุ้น OKEA รวมทั้งหมด 47,477,563 หุ้น คิดเป็น 46.62% นอกจากนี้กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติมีผลกำไรจากสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า 82 ล้านบาท