KR FORTEC ultra หุ่นยนต์อุตสาหกรรมรุ่นใหม่จาก KUKA ที่รองรับน้ำหนักได้สูงสุดถึง 800 กิโลกรัม ได้รับการออกแบบมาอย่างใส่ใจโดยเฉพาะงานโหลดและโมเมนต์แรงเฉื่อยที่สูง ทั้งยังตอบสนองข้อกำหนดใหม่ของอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าสำหรับความยั่งยืน
KR FORTEC ultra ถูกพัฒนาด้วยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับลูกค้าของ KUKA สะท้อนให้เห็นคำตอบของแบรนด์ต่อข้อกำหนดที่เปลี่ยนแปลงไปของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มียานพาหนะขนาดใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนประกอบสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
ด้วยแนวคิด Double Up หรือแขนเหวี่ยงคู่ที่ช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับหุ่นยนต์และลดน้ำหนักลงในเวลาเดียวกัน ส่งผลให้เกิดพลวัตรการทำงานที่มีประสิทธิภาพขึ้น รอบเวลาในการทำงานที่ดีขึ้น และการใช้พลังงานที่ลดลงตลอดจนคาร์บอนไดออกไซด์ในการผลิตที่น้อยลงด้วยเช่นกัน
Pain Point สำคัญในการพัฒนา KR FORTEC ultra นั้นมาจากความต้องการใช้งานช่วงโหลด 800 กิโลกรัม และโมเมนต์แรงเฉื่อยของโหลดที่สูงส่งผลให้ผู้ผลิตจำนวนมากต้องหันไปใช้งานหุ่นยนต์ที่มีโหลดสูงกว่า ซึ่งนำไปสู่น้ำหนักที่มากกว่า ต้นทุนที่สูงกว่าทั้งในการซ่อมบำรุงและการครอบครองเป็นเจ้าของ KR FORTEC ultra จึงสามารถเลือกใช้หุ่นได้อย่างเหมาะกับความต้องการ สร้างความคุ้มค่าให้กับต้นทุนและการดำเนินการ
หนึ่งในจุดเด่นของ KR FORTEC ultra คือ ค่า Mean Time Between Failure (MTBF) ที่สูงมากถึง 40,000 ชั่วโมง ทำให้พร้อมใช้งานต่อเนื่องยาวนาน ลดต้นทุนด้านอะไหล่ ทั้งยังสะดวกในการบำรุงรักษาต่าง ๆ ซึ่งมีเพียง 3 ส่วนเท่านั้น ได้แก่ การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันหล่อลื่น การตรวจสอบด้วยสายตา และการหล่อลื่นชุดไฟและตลับลูกปื้นบนตุ้มถ่วง โดย Mean Time to Maintenance (MTTM) นั้นเฉลี่ยอยู่ที่ 5.75 ชั่วโมง และ Mean Time to Repair (MTTR) สำหรับการซ่อมแซมอย่างรวดเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ 0.84 ชั่วโมง เรียกได้ว่าความพร้อมใช้งานทางเทคนิคอยู่ที่ 99.998%
อีกฟีเจอร์ที่ KUKA คิดมาเป็นอย่างดีและมองไกลไปถึงการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ คือ 2nd Life Ability ที่เปิดโอกาสให้สามารถดัดแปลงและอัปเกรด KR FORTEC ultra ได้ตลอดเวลาในแง่ของโหลดและความเฉื่อยของมวล การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของงานจึงเกิดขึ้นได้บนพื้นฐานของความยืดหยุ่นและคุ้มค่า
ที่มา:
kuka.com
เนื้อหาที่น่าสนใจ:
ถอดความสำเร็จผู้ผลิตทั่วโลกในการใช้หุ่นยนต์กับ KUKA!