ความสามารถในการแก้ปัญหาและรับมือกับ COVID-19 ในแต่ละประเทศนั้นแตกต่างกันออกไป การทำความเข้าใจความซับซ้อนในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นอัตราการระบาดและกฎข้อบังคับในแต่ละเมืองจะทำให้เกิดความเข้าใจในนโยบายที่ทำให้เกิดความสำเร็จขึ้น
บริษัท Deep Knowledge Analytics (DKA) ซึ่งมีฐานอยู่ในลอนดอนได้ทำการสำรวจตัวแปรผ่านห้าปัจจัยสำคัญในการตอบสนองต่อการระบาด ได้แก่ ความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ, ธรรมาภิบาล, การดูแลสุขภาพ, การกักกัน และการฉีดวัคซีน
รายงานดังกล่าวถูกตีพิมพ์ในรายงาน 116 หน้าที่มีชื่อว่า Covid-19 City Safety Ranking Q2/2021 โดย 50 เมืองที่มีอันดับความปลอดภัยจากไวรัสสูงสุด ได้แก่
- Abu Dhabi อันดับ 1 ด้านการฉีดวัคซีน
- Singapore อันดับ 1 ด้านความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ
- Seoul อันดับ 1 ด้านการบริหารจัดการสุขภาพ
- Tel Aviv-Yafo
- Dubai
- Toronto
- Sydney
- Zurich
- Dublin
- Ottawa อันดับ 1 ด้านประสิทธิภาพธรรมาภิบาล
- London
- Amsterdam
- Berlin
- Tokyo
- Copenhagen
- Beijing อันดับ 1 ด้านการกักกันเชื้อ
- New York
- Shanghai
- Auckland
- Brussels
- Helsinki
- Wellington
- Bern
- Hong Kong
- Los Angeles
- Stockholm
- Canberra
- Oslo
- Jerusalem
- Warsaw
- Riyadh
- Madrid
- Vienna
- Valletta
- Budapest
- Doha
- Moscow
- Paris
- Prague
- Rome
- Kuala Lumpur
- Zagreb
- Bratislava
- Hanoi
- Manila
- Athens
- Jakarta
- Ankara
- Bucharest
- Lisbon & Portugal
Portugal ถือเป็นหนึ่งในเมืองที่น่าสนใจ เนื่องจากมีอัตราการฉีดวัคซีนสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก คิดเป็นสัดส่วนกว่า 86% ของประชากรที่ได้รับวัคซีนครบ 2 โดส (ข้อมูลจาก John Hopkins Coronavirus Resource Center)
เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจเมื่อพบว่าผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองที่ติดอันดับสูง ๆ เหล่านี้กลับไม่เห็นด้วยว่าเมืองของตัวเองดีพอที่จะอยู่ในรายชื่อดังกล่าว ปัญหาด้านมาตรการความปลอดภัยและวัคซีนได้นำไปสู่การประท้วงขนาดใหญ่ในยุโรป และสหรัฐอเมริกา รวมถึงการปฏิเสธนโยบาย Zero Covid ในบางส่วนของเอเชียและออสเตรเลีย
สิ่งที่น่าสนใจซึ่งเกิดกับกลุ่มเมืองที่ติดอันดับเหล่านี้ คือ การดำเนินการตั้งแต่แรกเริ่มเกิดปัญหาอย่างรวดเร็วและการจัดการที่เด็ดขาด สังเกตได้ว่าประเทศที่มีแผนตอบสนองต่อสถานการณ์วิกฤติสุขภาพได้อย่างรวดเร็ว ได้แก่ สิงคโปร์, เกาหลีใต้ และสหรัฐอาหรับเอมิเรต ประเทศเหล่านี้มีการเตรียมตัวที่ดี ในขณะที่อิตาลีมีแผนรับการระบาดแต่ลล้มเหลวในการประยุกต์ใช้
สำหรับเมืองที่มีระบบติดตามผู้สัมผัส (Contract Tracing) ระบบการรักษาทางไกล การกระจายวัคซีน และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง หรือมีการพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ไวจะอยู่ในกลุ่มรายชื่อเมืองที่มีอัตราความสำเร็จสูง
พื้นที่ของเมืองใหญ่ในประเทศที่มีรัฐบาลมีลักษณะเผด็จการหรือมีการจัดการเบ็ดเสร็จ กล่าวคือในพื้นที่ซึ่งมีการบังคับใช้มาตรการอย่างเข้มงวดเพื่อต่อสู้กับการระบาดก็ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มดังกล่าวเช่นกัน ในท้ายที่สุดแล้ว สิ่งสำคัญ คือ การหาสมดุลระหว่างการล็อคดาวร์และทรัพยากรสำหรับประชากร
ประเด็นที่น่าสนใจจากรายงาน
- ในระดับโลก การระบาดนั้นเปิดเผยให้การทำงานร่วมกันระหว่างรัฐบาลแห่งชาติและหน่วยงานเทศบาล
- ไม่มีเมืองใดที่ระบบสาธารณสุขรองรับคลื่นการระบาดที่ถาโถมได้พอเพียง
- มีเพียง 10% ของเมืองที่มีการเตรียมแผนรับมือเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนด้านเศรษฐกิจสำหรับประชาชนและธุรกิจ
- มีเพียง 25% ของเมืองที่สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยทำให้กราฟสามารถเกิดเป็นแนวราบได้ ในขณะที่ 11% ของเมืองมีการทดสอบเชื้อและติดตามผล มาตรการเหล่านี้ดำเนินการรวมกับการกักตัวซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการต่อสู้กับการระบาด
- มีเมืองเพียง 17% ที่มียุทธศาสตร์หลังการระาบาดใหญ่
- ประเทศทั่วโลกตอบสนองกับการระบาดกันเป็นเอกเทศมากกว่าการร่วมกันรับมือหรือตอบสนอง
ที่มา:
Cnbc.com
เนื้อหาที่น่าสนใจ:
นักวิจัยพัฒนาชุดตรวจ COVID-19 จากน้ำลายรู้ผลไวและแม่นยำเทียบเท่า PCR