Saturday, November 23Modern Manufacturing
×

ยิ่งกังวลกับเศรษฐกิจมากเท่าไหร่ ยิ่งระวัง COVID-19 น้อยลงเท่านั้น

เมื่อปัญหาปากท้องเป็นเรื่องสำคัญลำดับต้น ๆ ภาวะการระบาดของ COVID-19 ได้นำมาซึ่งปัญหาวงกว้างที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และการดำรงอยู่ของสังคมมนุษย์ ข้อมูลจากมหาวิทยาลัย Washington State University ได้แสดงให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างเศรษฐกิจและ COVID-19 ที่ต้องให้น้ำหนักบนตาชั่งเดียวกันที่เรียกว่า ตาชั่งชีวิต

แรงงานที่รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยของตำแหน่งงานและสถานภาพทางการเงินนั้นมีแนวโน้มที่จะไม่ทำตามคำแนะนำให้การรับมือกับ COVID-19 เช่น การเว้นระยะห่างทางกายภาพ การจำกัดจำนวนในการออกจากบ้าน ตลอดจนถึงการล้างมือ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มาจากการศึกษาของ Washington State University

ข้อมูลเหล่านี้มาจากการสอบถามแรงงาน 745 คนใน 43 รัฐ ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ยังพบข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า เงินตอบแทนช่วงการว่างงานจากภาครัฐและนโยบายด้าน COVID-19 นั้นส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างความกังวลด้านเศรฐกิจและการดำเนินนโยบายการรับมือต่อการระบาดของไวรัส

จากการศึกษาพบว่า วิธีคิดที่เกี่ยวข้องกับความขาดแคลนนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากในการที่ผู้คนให้ความสำคัญต่อการตอบสนองต่อการระบาด เนื่องจากทุกคนนั้นมีทรัพยากรที่จำกัดสำหรับแต่ละคนแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นเงิน เวลา หรือการสนับสนุนจากทางสังคม และคนที่มีแนวโน้มการเก็บตัวหรือมีสังคมขนาดเล็กจะมีทรัพยากรที่น้อยกว่าทำให้การดำเนินการตามมาตรการป้องกันเกิดขึ้นได้ไม่ดีนัก

นอกจากนี้ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นยังส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมในการใช้ชีวิต ความรู้สึกที่ต้องถอยหลังแต่มีตาข่ายที่คอยรอรับไว้ให้ปลอดภัยไม่ต้องร่วงหล่นนั้นจะช่วยให้จัดการกับความรู้สึกไม่ปลอดภัยในตำแหน่งงานได้ ในรัฐที่มีอัตราค่าตอบแทนช่วงว่างงานต่ำ ความรู้สึกไม่ปลอดภัยลดลง 7% ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการทำตามนโยบายป้องกัน COVID-19

ในรัฐที่มีข้อกำหนดรัดกุมน้อยกว่าการแพร่ระบาดของโรคก็มากกว่าด้วยเช่นกัน แรงงานมักจะไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำในการรับมือของทางการไม่ว่าผู้รับผิดชอบจะมีความปลอดภัยในสถานภาพทางการเงินหรือไม่ก็ตาม

อย่างไรก็ตามในรัฐที่มีความเข้มงวดสูง ไม่ว่าจะเป็นการทำงานจากบ้านหรือมีการบังคับปิดกิจการที่ไม่มีความเกี่ยวข้อง กลับมีอัตราความมั่นใจในสถานภาพการเงินของแรงงานสูงถึง 13% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่รู้สึกไม่ปลอดภัย ความแตกต่างนี้เกี่ยวข้องกับมาตรการความปลอดภัยทางสาธารณสุขด้วยเช่นกัน

ทีมวิจัยใช้ Mechanical Turk ของ Amazon ในการเก็บข้อมูล โดยข้อมูลส่วนใหญ่พบว่าเป็นผู้ชาย 62% และมีสัดส่วนการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยถึง 68% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่มากกว่าประชากรของสหรัฐอเมริกาที่มีผู้ชายอยู่ประมาณ 50% และมีการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยอยู่เพีย 35% กลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามมีรายได้ประมาณ 50,000 – 59,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งใกล้เคียงกับรายได้เฉลี่ยประชากรที่ 60,293 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยข้อมูลเหล่านี้ทำการเก็บตัวอย่างในเดือนเมษายน หรือเป็นเวลา 1 เดือนหลัง WHO ประกาศการระบาดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 มีนาคม

ที่มา:
News.wsu.edu

READ MORE

Notice: Undefined index: popup_cookie_abzql in /home/mmthaixaulinbx/webapps/mmthailand/wp-content/plugins/cardoza-facebook-like-box/cardoza_facebook_like_box.php on line 924