GPSC ทำรายได้ไตรมาส 1 ปี 62 กว่า 9,067 ล้านบาท กำไรเพิ่มขึ้น 94% ทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจบดีลรวม GLOW สร้างการรับรู้รายได้ทันที มั่นใจธุรกิจขยายตัวก้าวกระโดด รับ 4 โครงการใหม่ทยอยจ่ายไฟเข้าระบบ
นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด(มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่มปตท. เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2562 บริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 9,067 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,204 ล้านบาท หรือคิดเป็น 55% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2561 ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 942 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 456 ล้านบาท คิดเป็น 94 % และปรับตัวเพิ่มขึ้น 20 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งรายได้และกำไรดังกล่าวนับเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ มา
ทั้งนี้ผลการดำเนินงานดังกล่าว เป็นผลจากการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการรับรู้รายได้ค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment: AP) ที่เพิ่มขึ้น จากโรงไฟฟ้าศรีราชา (IPP) ที่กลับมาเดินเครื่องผลิตได้ตามปกติ หลังจากมีการหยุดซ่อมบำรุงในไตรมาส 4/2561 และพร้อมจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ทันที ในกรณีที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) เรียกไฟฟ้าเข้าระบบ เนื่องจากอยู่ในช่วงฤดูร้อนที่มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของทุกปี ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังรับรู้ผลประกอบการของ บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) หรือ GLOW ภายหลังจากที่ GPSC สามารถควบรวมกิจการเป็นที่เรียบร้อย เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และมีรายได้เงินปันผลรับจาก บริษัท ราชบุรี เพาเวอร์ จำกัด (RPCL) อีกด้วย
“ผลการดำเนินงาน ของ GPSC สูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ มา สะท้อนถึงการเติบโตและศักยภาพของการเดินเครื่องการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการแสวงหาโอกาสการเติบโตทางธุรกิจใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโต และความแข็งแกร่งให้กับบริษัทฯ ในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมพลังงาน เพื่อตอบสนองความต้องการใช้ของลูกค้าในภาคอุตสาหกรรม และเป็นส่วนสำคัญในการรักษาเสถียรภาพด้านไฟฟ้าให้กับประเทศ” นายชวลิตกล่าว
สำหรับกำไรสุทธิที่เป็นผลมาจากการดำเนินงานของ GPSC หรือ Normalized net profit (NNP) (กำไรสุทธิของบริษัทฯ ที่ไม่รวมผลจากการบันทึกบัญชีเกี่ยวกับการตีความมาตรฐานการรายงานทางการเงิน เรื่อง สัญญาเช่า (TFRIC 4) เรื่องรายได้จากสัญญาที่ทำกับลูกค้า (TFRS 15) รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนและสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี ซึ่งสามารถสะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินงานของบริษัทได้อย่างชัดเจน) ในไตรมาส 1/2562 มีจำนวน 1,053 ล้านบาท โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น 475ล้านบาท หรือคิดเป็น 82% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 4/2561 และปรับตัวเพิ่มขึ้น 63 ล้านบาท หรือคิดเป็น 6% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และเป้าหมายขององค์กร และขีดความสามารถของบุคลากรภายในองค์กร ที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการปฎิบัติการ (Operation) ของโรงไฟฟ้า ในแต่ละแห่ง เพื่อให้เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าและไอน้ำได้ตามแผนที่วางไว้
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ เตรียมรับกำลังการผลิตไฟฟ้าและไอน้ำที่จะเข้าสู่ระบบ 4 โครงการ ประกอบด้วย
1. โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำลิก 1 (NL1PC) ประเทศ สปป.ลาว กำลังการผลิต 65เมกะวัตต์ ซึ่ง GPSC ถือหุ้น 40% มีเป้าหมายจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในปี 2562
2. โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี (XPCL) กำลังการผลิต 1,285 เมกะวัตต์ ประเทศ สปป.ลาว ซึ่ง GPSC ถือหุ้นอยู่ 25%คาดว่าจะจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 4 ปี 2562
3. ศูนย์ผลิตสาธารณูปการแห่งที่ 4 จังหวัดระยอง (CUP 4) กำลังการผลิต 45 เมกะวัตต์ ไอน้ำ 70 ตันต่อชั่วโมง ซึ่งจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 3 ปี 2562 และ
4. โครงการโรงไฟฟ้าของบริษัท ผลิตไฟฟ้า นวนคร จำกัด (NNEG) ส่วนขยาย กำลังการผลิตส่วนเพิ่ม 60 เมกะวัตต์ ไอน้ำ 10 ตันต่อชั่วโมง ซึ่ง GPSC ถือหุ้น30% ซึ่งคาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2563