กกร.หวั่น ส่งออกต่ำกว่าเป้า ชี้ ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย อาจต้องอาศัยการใช้จ่ายภายในประเทศเป็นหลักทั้งการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ การใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมการหาเสียงเลือกตั้ง และการเติบโตของการท่องเที่ยว
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.)ประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย จะยังคงกรอบประมาณการเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยปี 2562 ไว้ตามเดิมไปก่อน แม้จะมีความเป็นไปได้ที่การส่งออกในปีนี้จะขยายตัวได้ต่ำกว่ากรอบล่างที่ประมาณการไว้ โดยจะขอรอดูสถานการณ์ต่างๆ ก่อนที่จะทบทวนประมาณการเศรษฐกิจในช่วงการประชุม กกร.เดือนถัดไป โดยประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยปีนี้ คาดว่าจะ ขยายตัว 4.0-4.3% การส่งออก ขยายตัว 5-7% และอัตราเงินเฟ้อ ที่ระดับ 0.8-1.2%
ทั้งนี้การส่งออกในเดือนม.ค.62 พบว่า หดตัวร้อยละ 5.7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกจากประเด็นสงครามการค้า และทิศทางค่าเงินบาทที่แข็งค่า สะท้อนภาพว่า ช่วงไตรมาสแรกของปี 2562 ปัจจัยที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอาจต้องอาศัยการใช้จ่ายภายในประเทศเป็นหลัก ทั้งการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ การใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมการหาเสียงเลือกตั้ง และการเติบโตของการท่องเที่ยว
โดยที่ประชุม กกร. มองว่าแม้เงินบาทเริ่มจะปรับตัวอ่อนค่าลง และประเด็นสงครามการค้าเริ่มมีสัญญาณเชิงบวก แต่อย่างไรก็ตาม แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2562 ยังคงต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนจากปัจจัยทั้งในและต่างประเทศ โดยในระยะใกล้นี้ต้องติดตามผลการประชุมข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนในวันที่ 27 มี.ค.62, ข้อสรุปกรณีการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป(BREXIT) และปัจจัยการเมืองในประเทศ ตลอดจนทิศทางค่าเงินบาท อีกทั้งยังต้องติดตามท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) เนื่องจากเป็นที่คาดการณ์ว่าการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
นอกจากนี้ตามที่ กกร.ได้เสนอมาตรการส่งเสริมเอสเอ็มอีให้เข้าสู่ระบบบัญชีเดียว กรมสรรพากรได้ตอบรับขัอเสนอดังกล่าวและได้ออกกฎหมายร่างพระราชบัญญัติยกเว้นเบี้ยปรับเงินเพิ่มภาษีอากรและความผิดอาญาเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรที่ผ่านวาระ 1 ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และจะพิจารณาในวาระ 2 และ 3 ในสัปดาห์นี้ และในวันที่ 14 มี.ค.62 กกร.กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กรมสรรพากร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สภาวิชาชีพบัญชีฯ จะลงนามเอ็มโอยูร่วมกันในเรื่องดังกล่าว