สมคิด กำชับ กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งวางรูปแบบ อินโนสเปซ ให้เสร็จภายในเดือน พ.ค.นี้ ก่อนที่รัฐบาลใหม่จะเข้ามาบริหารประเทศ พร้อมให้จัดทำมาตรการจูงใจภาคเอกชน นำเทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามาใช้ในการทำธุรกิจมากขึ้น
วันที่ 22 เม.ย.62 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางเข้าตรวจเยี่ยมกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมกำชับกระทรวงอุตสาหกรรมให้เร่งขับเคลื่อน บริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อเป็นศูนย์กลางในการช่วยส่งเสริมและพัฒนาสตาร์ทอัพไทย อย่างครบวงจรโดยเร็ว ด้วยการกำหนดสถานที่ตั้ง และ วางรูปแบบการทำงานร่วมกับพันธมิตรภาครัฐ เอกชน และต่างประเทศ พร้อมตั้งคณะผู้บริหารบริษัทให้เสร็จภายในเดือน พ.ค.นี้ ก่อนที่รัฐบาลใหม่จะเข้ามาบริหารประเทศ และต้องพร้อมขอรับการจัดสรรงบประมาณปี 2563
พร้อมกันนี้ยังได้ขอให้เดินหน้ากระบวนการเปลี่ยนผ่านภาคอุตสาหกรรมไทยสู่ยุคดิจิทัล ตามนโยบายประเทศไทย 4.0 โดยสั่งการให้กระทรวงอุตสาหกรรม จัดทำมาตรการแบบครบวงจรเชิงบังคับและจูงใจภาคเอกชนไทยให้มีนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ในการทำธุรกิจมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น IoT , Big Data และการจัดทำบัญชีเดียว เป็นต้น และนำเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)เพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป เพราะหากไม่ทำผู้ประกอบการไทยจะไม่สามารถแข่งขันได้
นายสมคิด ยังได้กล่าวเน้นย้ำให้การทำงานในลักษณะบูรณาการกับภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาและกระทรวงแรงงาน โดยดำเนินการภายใต้ “โครงการส่งเสริมการปฏิรูป SMEs สู่ 4.0 ด้วย Industrial Transformation Platform”ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างขอการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมรวม 8,629 ล้านบาท และให้สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย(สอน.) เดินหน้ามาตรการลดการเผาอ้อย ให้ได้ตามกรอบระยะเวลา 3 ปีนับจากนี้ไปภายใต้งบประมาณช่วยเหลือ 2,000 ล้านบาทในรูปแบบสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ชาวไร่อ้อย เพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง P.M.2.5 โดยเฉพาะฝุ่นละอองจากอ้อยไฟไหม้
นอกจากนั้นยังขอให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นำรูปแบบอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป เพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าผลผลิต โดยให้เน้นไปยังกลุ่มผักและผลไม้ ซึ่งประเทศไทยมีแหล่งผลิตสำคัญในภาคตะวันออก และภาคใต้ที่จังหวัดชุมพร โดยจะต้องดำเนินการให้มีห้องเย็น โรงงานแปรรูป และ การแปรรูป เป็นเกษตรอุตสาหกรรม โดยเร็ว
และได้ยังมอบหมายให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.)เตรียมพร้อมรองรับการเข้ามาลงทุนของนักลงทุน โดยให้ กนอ.ก้าวสู่ยุค กนอ. 4.0 เพื่อให้สามารถตอบรับการเข้ามาลงทุนได้สะดวกง่าย ซึ่งตัวอย่างของธุรกิจนี้เห็นได้จากบริษัท WHA ส่วนโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยที่ 3 ขอให้ดำเนินการด้วยดีมีการต่อรองที่เหมาะสมไม่ให้เป็นที่ครหา เพราะจะนำเป็นโครงการตัวอย่างในการเดินทางไปพบปะกับนักลงทุนจีนต่อไป ส่วนโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ SEZ ที่นิคม สระแก้ว ตาก สงขลา และนราธิวาส จะต้องพิจารณาว่า จะให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมอุตสาหกรรมชีวภาพ และต้องมีพื้นที่รองรับสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพโดยจัดทำในแผนระยะ 5 ปีข้างหน้าเอาไว้ด้วย
อย่างไรก็ตาม นายสมคิด ยังได้กล่าวอีกว่า หลังจากเลือกตั้งพบว่า ในช่วง 2 เดือนนี้ ภาพรวมเศรษฐกิจนิ่งในลักษณะ “Sleeping Beauty” เศรษฐกิจโตลดลงเหลือกว่าร้อยละ 3 จากที่เติบโตระดับร้อยละ 4 ซึ่งไม่ต้องการให้เศรษฐกิจเติบโตชะลอลง ดังนั้น จึงขอให้ข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เดินหน้าทำงานอย่างต่อเนื่องแม้ไม่หยุดนิ่ง แม้อยู่ในช่วงรอยต่อการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลปัจจุบันไปสู่รัฐบาลใหม่ เพื่อให้งานการช่วยเหลือผู้ประกอบการโดยเฉพาะเอสเอ็มอี และธุรกิจสตาร์ทอัพเดินหน้าไปได้อย่างต่อเนื่องไม่สะดุด นายสมคิด ยังได้ขอให้ธนาคารเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม จัดทำมาตรการเพื่ออัดฉีดเงินให้กับธุรกิจเอสเอ็มอีภายใน 3 เดือนนี้ เพื่อนำไปเตรียมความพร้อมที่จะเดินหน้าใหม่ต่อทันทีที่รัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ