บางจาก เผยผลการดำเนินงาน ปี 2562 มีรายได้ 190,489 ล้านบาท EBITDA รวม 8,709 ล้านบาท กำไรทั้งกลุ่ม 2,488 ล้านบาท หากแยกกำไรส่วนของบริษัทใหญ่จะอยู่ที่ 1,732 ล้านบาท ธุรกิจในกลุ่มการตลาดและผลิตภัณฑ์ชีวภาพเติบโตต่อเนื่อง
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในปี 2562 ว่า บริษัท บางจากฯ และบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 190,489 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1 จากปีก่อนหน้า เมื่อเทียบกับราคาน้ำมันดิบที่ตกลงกว่าร้อยละ 10 มีกำไรก่อนหักต้นทุนทางการเงิน ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 8,709 ล้านบาท มีกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ 1,732 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.18 บาท
โดยตลอดปี 2562 บริษัท บางจากฯ ยังคงได้รับผลกระทบธุรกิจน้ำมันโลกที่อยู่ในช่วงขาลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ส่งผลให้ผลประกอบการของทั้งอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันรวมถึงของบริษัทฯ ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม ธุรกิจในกลุ่มการตลาดและผลิตภัณฑ์ชีวภาพมีการเติบโตต่อเนื่อง ในขณะที่ธุรกิจพลังงานไฟฟ้ามีการขยายการลงทุนผ่านโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำในประเทศลาว
สำหรับผลการดำเนินงานในแต่ละธุรกิจ กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน มี EBITDA 2,871 ล้านบาท มีอัตราการผลิตเฉลี่ย 112,600 บาร์เรลต่อวันหรือคิดเป็นร้อยละ 94 ของกำลังการผลิตรวมของโรงกลั่น สูงกว่าปี 2561 ที่มีการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นประจำปี และมีกำลังการผลิตเฉลี่ยสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 123,500 บาร์เรลต่อวันในเดือนกันยายน ขณะที่ค่าการกลั่นพื้นฐานปรับตัวลดลง 1.69 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลจากปีก่อนหน้า เป็นผลกระทบจากส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปและน้ำมันดิบอ้างอิงในทุกผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลงจากภาวะอุปทานน้ำมันสำเร็จรูปล้นตลาด และอุปสงค์ที่ลดลงจากสภาพเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว อีกทั้งราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ผันผวนตลอดทั้งปี โดยเฉพาะช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกันยายนที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงจากสถานการณ์ความตึงเครียดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ทวีความรุนแรง ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ในปี 2562 ธุรกิจโรงกลั่นมี Inventory Loss 1,253 ล้านบาท ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงกลั่นอย่างมีนัยยะ
ในส่วนของธุรกิจการค้าน้ำมันโดยบริษัท BCP Trading จำกัด ผลการดำเนินงานดีขึ้นจากปีก่อนหน้า โดยมีปริมาณ การค้าและธุรกรรมการซื้อขายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว จากการเดินหน้าขยายธุรกรรมการค้ากับคู่ค้าและผลิต ภัณฑ์ใหม่เพิ่มขึ้นต่อไปตามแผนกลยุทธ์การขยายธุรกิจของบริษัท
กลุ่มธุรกิจการตลาด มี EBITDA 2,279 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่องในด้านปริมาณการจำหน่ายและส่วนแบ่งการตลาด จากปริมาณการจำหน่ายรวม 6,218 ล้านลิตร โดยยอดขายน้ำมันใสในประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับภาพรวมตลาดที่เติบโตร้อยละ 2 โดยหลักๆ มาจากปริมาณการจำหน่ายน้ำมันในตลาดค้าปลีกปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการขยายฐานลูกค้าตามกลยุทธ์ของบริษัทฯ และการจำหน่าย “น้ำมันบางจากไฮดีเซล B20 S” และ “น้ำมันบางจากไฮดีเซล S B10” ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี
สำหรับส่วนแบ่งการตลาดนั้น บริษัทฯ มีส่วนแบ่งการตลาดสะสมปี 2562 ร้อยละ 16 และมีสถิติสูงสุดอยู่ที่ ร้อยละ 16.5 ในเดือนกันยายน จากการพัฒนาคุณภาพการให้บริการ และขยายจำนวนสถานีบริการควบคู่ไปกับการขยายธุรกิจ Non-Oil โดยณ สิ้นปี 2562 มีจำนวนสถานีบริการน้ำมันกว่า 1,200 สาขาทั่วประเทศ ร้านสะดวกซื้อ SPAR 46 สาขา และร้านกาแฟอินทนิล 600 สาขา
กลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้า มี EBITDA 2,964 ล้านบาท มีปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้ารวม 386.65 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการรับรู้รายได้เต็มปีของโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินสําหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์การเกษตรร่วมกับองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปถัมภ์ (อผศ.) และการเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม “ลมลิกอร์” และโครงการโซลาร์เอกชน “บางปะอิน” รวมทั้งการขยายการลงทุนผ่านโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำในประเทศลาว “Nam San 3A” ทำให้ปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญาทั้งหมดจำนวน 405.61 เมกกะวัตต์ อีกทั้งรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม 355 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนโดยเพิ่มขึ้นในส่วนของจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ ในประเทศอินโดนีเซีย แต่ผลการดำเนินงานลดลงเมื่อเทียบกับปี 2561 เนื่องจากปีก่อนหน้ามีการรับรู้กำไรจำนวน 793 ล้านบาท จากจำหน่ายโครงการ Nikaho และ Nagi ให้แก่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานในประเทศญี่ปุ่น
กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ โดยธุรกิจผลิตและจำหน่ายไบโอดีเซล มีปริมาณการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ B100 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า จากมาตรการต่างๆ ของภาครัฐในการแก้ปัญหาปริมาณน้ำมันปาล์มดิบส่วนเกิน รวมถึงนโยบายส่งเสริมการใช้น้ำมันไบโอดีเซล (B100) ในภาคพลังงานมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์สูงขึ้น และราคาขายผลิตภัณฑ์ B100 ปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
อีกทั้งบริษัทมีการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบได้ดี ทำให้กำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนหน้า ในส่วนของธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอล มีปริมาณการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เอทานอลเพิ่มขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากโรงงานผลิตเอทานอลของบริษัท เคเอสแอล กรีน อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) ที่อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรีมีการขยายกำลังการผลิตจาก 66 ล้านลิตรต่อปี เป็น 99 ล้านลิตรต่อปี และที่อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่นมีการขยายกำลังการผลิตจาก 45 ล้านลิตรต่อปี เป็น 49.5 ล้านลิตรต่อปี และบริษัท บางจากไบโอเอทานอล (ฉะเชิงเทรา) มีการปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิต ประกอบกับการบริหารต้นทุนวัตถุดิบได้ดีขึ้น ส่งผลให้กำไรขั้นต้นปรับเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าราคาขายเฉลี่ยเอทานอลจะปรับตัวลดลง เนื่องจากสต๊อกเอทานอลของประเทศยังอยู่ในระดับสูง
กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ มี EBITDA ติดลบ 36 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 153 ล้านบาท โดยผลการดำเนินงานปรับลดลงเนื่องจากในปี 2561 มีการรับรู้กำไรจากการจำหน่ายหุ้นของ Nido Production (Galoc) Pty. Ltd ที่ถือครองแหล่งน้ำมันดิบ Galoc ประมาณ 78 ล้านบาท และทำให้ปี 2562 ไม่มีการรับรู้รายได้จาก Nido ดังนั้นผลการดำเนินงานส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหาร ทั้งนี้ บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม OKEA 26 ล้านบาท ถึงแม้ส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานในปีนี้เป็นผลขาดทุน เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนจากค่าเงินโครนนอร์เวย์ (NOK) ที่อ่อนตัวลง และมีการตั้งด้อยค่า Technical Goodwill ของแหล่ง Gjøa Field แต่มีการบันทึกกำไรจากการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนเงินลงทุนจากการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวน 82 ล้านบาท ทำให้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมดีขึ้น
สำหรับปี 2563 คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะยังคงชะลอการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จากสงครามการค้าและการระบาดของ COVID-19
อย่างไรก็ดี บริษัท บางจากฯ พร้อมที่จะปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจให้ทันต่อสภาวะการณ์ของโลก และยังคงให้ความสำคัญกับการนำนวัตกรรมมาพัฒนาธุรกิจสีเขียวอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งพัฒนาบุคลากรอันเป็นกำลังสำคัญในขับเคลื่อนองค์กรสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต