กฟผ. ดึงนวัตกรรมเครื่องร่อนปุ๋ยอินทรีย์ผลิตปุ๋ยหมักจากผักตบชวา ช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ลดปริมาณผักตบชวาบริเวณเขื่อนปากมูล จ.อุบลราชธานี ต่อยอดสร้างรายได้ให้ชุมชน
ว่าที่ ร.ต. ไพฑูรย์ จงจินากูล รักษาราชการแทนนายอำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ “ผักตบชวา สวะที่มีคุณค่า” โดยร่วมกับจังหวัดอุบลราชธานี หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 56 มณฑลทหารบกที่ 22 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ โครงการชลประทานอุบลราชธานี กรมชลประทาน หน่วยป้องกันและปราบปรามประมงน้ำจืดเขื่อนปากมูล อุบลราชธานี กรมประมง สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 4 กรมวิชาการเกษตร ประชาชนในพื้นที่อำเภอโขงเจียมและอำเภอสิรินธร รวมทั้งมีนายธนภัทร ฉัตรสุวรรณ หัวหน้ากองโรงไฟฟ้าเขื่อนสิรินธร การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และพนักงาน กฟผ. ร่วมกิจกรรม ณ บ้านหัวเห่ว อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี
ด้านนายศานิต นิยมาคม ผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารจัดการความยั่งยืน ในฐานะรองโฆษก กฟผ. เปิดเผยว่า โครงการ “ผักตบชวา สวะที่มีคุณค่า” ได้นำนวัตกรรมการผลิตปุ๋ยหมักจากผักตบชวาแบบไม่พลิกกลับกอง ซึ่งเป็นผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ และนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์เครื่องร่อนปุ๋ยอินทรีย์ของ กฟผ. มาร่วมแก้ไขปัญหาผักตบชวาที่มีปริมาณหนาแน่นในเขื่อนปากมูล อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี ที่มีปริมาณผักตบชวาประมาณ 4,200 ตัน/ปี ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของน้ำเน่าเสีย ส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการน้ำและทำให้เสียทัศนียภาพในด้านการท่องเที่ยว โดยนำผักตบชวามาผลิตปุ๋ยหมักแบบไม่พลิกกลับกอง เพื่อสร้างคุณค่าและก่อให้เกิดประโยชน์กับชุมชนในพื้นที่ ช่วยลดการใช้ปุ๋ยเคมีสำหรับเพาะปลูก อีกทั้งยังส่งผลให้คุณภาพดินเพาะปลูกในชุมชนดีขึ้น และยังช่วยสร้างรายได้จากการจำหน่ายปุ๋ยหมักเป็นสินค้าของวิสาหกิจชุมชนได้อย่างยั่งยืน
สำหรับโครงการ “ผักตบชวา สวะที่มีคุณค่า” ได้นำแนวทางธุรกิจเพื่อสังคม (Social Business Model) มาปรับใช้ โดย กฟผ. สนับสนุนเงินลงทุนบางส่วน เครื่องจักร และจัดอบรมเชิงปฏิบัติการให้กับวิสาหกิจชุมชน ปัจจุบันมีวิสาหกิจชุมชนเข้าร่วมโครงการ จำนวน 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนพัฒนาบ้านหัวเห่ว อ.โขงเจียม และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรผสมผสานผัง 16 บ้านคำวังยาง อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี ทั้งนี้ ในปี 2562 ชุมชนมีเป้าหมายที่จะนำผักตบชวา จำนวน 400 ตัน มาทำปุ๋ยหมัก จำนวน 120 ตัน โดยจะแบ่งปุ๋ยหมักให้สมาชิกตามสัดส่วนการร่วมลงทุนค่ามูลสัตว์ เพื่อนำไปใช้ในการเพาะปลูก จำนวน 60 ตัน และวิสาหกิจชุมชนนำไปจำหน่ายในรูปของผลิตภัณฑ์ดินอินทรีย์ จำนวน 60 ตัน